loader
การปรับตัวของผู้ประกอบการ SME ไทยมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business)

      SDGs ทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นโยบายรัฐบาลกว่า 20 ประเทศทั่วโลก กำหนดเป็นหนึ่งวาระแห่งชาติ นับว่าเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่สำคัญของโลก ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ การปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมกะเทรนด์นี้เป็นได้ทั้งโอกาสและอุปสรรคสำหรับผู้ประกอบการ ในบางประเทศได้นำประเด็นดังกล่าวมากำหนดเป็นนโยบายและกฎระเบียบทางการค้า จนอาจกลายเป็นข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ หรือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Measure: NTMs) อาทิ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Agreement on the Application of Sanitary and Phytosanitary Measures-SPS) ที่เน้นมาตรการเพื่อกำกับดูแลความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สินค้านำเข้า สารอันตราย สารเติมแต่ง สารปนเปื้อน สารพิษต่อชีวิตที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ สอดคล้องกับ SDGs เป้าหมายที่ 3 : สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Good Health and Well-Being) เป็นต้น

แผนภาพที่ 1 สัดส่วนของผู้บริโภคที่คำนึงถึงความยั่งยืนในปี 2022

ที่มา: Statista, 2022

      ข้อมูลจาก Statista (2022) รายงานว่า ผู้บริโภคให้ความสนใจสินค้าและบริการที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของโลกในปี 2022 มากกว่าปีที่ผ่านมา โดยประเทศที่มีสัดส่วนผู้บริโภคให้ความสนใจมากที่สุดคือ ประเทศจีนคิดเป็นร้อยละ 80 รองลงมาคืออิตาลี (ร้อยละ 77) สหราชณาจักร (ร้อยละ 76) ฝรั่งเศส (ร้อยละ 74) เยอรมัน (ร้อยละ 70) และ สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 67)

      ไทยจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับเวทีการค้าโลก โดยใช้จุดเด่นของประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม การสนับสนุนและส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าและบริการมูลค่าสูง ด้วยการใช้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า “BCG Model” ประกอบไปด้วย การพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ทั้งนี้ BCG Model มีความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) นโยบายสีเขียวของสหภาพยุโรป (European Green Deal) และสอดรับกับหลักการเศรษฐกิจพอเพียงของประเทศไทย อีกทั้งยังสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

      การดำเนินการพัฒนาธุรกิจตามแนวทางของ BCG จะทำให้ผู้ประกอบการ SME ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าเข้าสู่ตลาดประเทศที่มีความมั่งคงทางเศรษฐกิจ หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ อาทิ ประเทศในกลุ่มอาเซียน จีน อินเดีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ตลอดจนกลุ่มประเทศที่ต้องการคุณภาพและมาตรฐานสินค้าระดับสูง จากข้อได้เปรียบของไทยที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งเรื่องของเกษตร อาหาร แม้กระทั่งด้านภูมิศาสตร์ ความท้าทายนี้ สร้างโอกาสทางธุรกิจในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารยั่งยืน (Sustainable food) อาหารแห่งอนาคต (Future Food) ที่ช่วยลดคาร์บอนได้มากกว่าเนื้อสัตว์หลายเท่าและกำลังเป็นเทรนด์ของโลก เช่น เนื้อจากพืช (Plant-Based Meat) โปรตีนจากแมลงที่ใช้พื้นที่ในการผลิตน้อยกว่าปศุสัตว์ ต้องมีการพัฒนานวัตกรรมในการผลิตให้มีความเหมือนและรสชาติเหมือนเนื้อสัตว์ประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคหันมารับประทานมากขึ้น

      BCG ยังสามารถนำมาผสมผสานกันได้ทั้งกระบวนการ เช่น การบำบัดน้ำเสียจากอุตสาหกรรมมันสำปะหลังและการนำกากมันสำปะหลังที่เหลือจากกระบวนการผลิตไปเป็นอาหารสัตว์ การนำว่านเสน่ห์จันทร์หอมที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี มาผลิตเป็นสกัดทำน้ำหอมและสบู่ หลังจากนั้นนำเส้นใยว่านที่เหลือจากการผลิตนำมาทำเสื้อผ้าและเครื่องนุ่มห่ม การปลูกไผ่โดยวิธีธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี นำผลผลิตที่ได้มาทำเป็นเครื่องเรือน เครื่องจักรสาร สิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือน และเศษไม้ไผ่ที่เหลือทำเป็นเชื้อเพลิง หรือผสมกับดินเหนียวเพื่อทำเป็นอิฐ เป็นต้น ตลอดจนประเทศไทยมีของเสีย (Waste) ที่ยังไม่ได้รับการจัดการอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นของเสียที่จากการเกษตร ครัวเรือนและอุตสาหกรรม ถ้าผู้ประกอบสามารถนำของเสียเหล่านี้ไปเพิ่มมูลค่า อาทิ ทำเป็นอาหารสัตว์ ทำปุ๋ยหมัก หรือแม้กระทั่งนำมาสกัดเป็นเวชภัณฑ์ที่เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง หรือการนำเศษผ้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอรวมทั้งของเหลือมารีไซเคิล และแปรสภาพเป็นสินค้าใหม่ การนำของมือสองมาออกแบบหรือดีไซน์ใหม่ ทำให้เกิดสินค้าใหม่ จนเกิดเป็น Zero Waste นับว่าเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและโอกาสทางธุรกิจให้กับ ผู้ประกอบการ SME เช่นกัน 

      นอกจากนี้ การท่องเที่ยวที่เป็น Low Carbon หรือ Net Zero กำลังเป็นกระแสของโลกการท่องเที่ยววิถีชุมชนเชิงอนุรักษ์ (Local Alike) โรงแรม รีสอร์ท ที่พักต่าง ๆ ที่ยกระดับมาตรฐานการให้บริการที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อาทิ การปรับใช้วัสดุหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly) การลดการปล่อยมลพิษ หรือการจัดการของเสียอย่างเหมาะสม จะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว และยังเป็นการเพิ่มกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเลือกใช้บริการโรงแรมและที่พักที่มีนโยบาย BCG มากขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ในทุกพื้นที่ และสร้างรายได้ให้กับภาคทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายงานของ Statista (2022) ที่พบว่ามูลค่าตลาด Ecotourism จะเพิ่มขึ้นจาก 172.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 ไปเป็น 374.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026

      ในอนาคตมูลค่าของสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ BCG จะเป็นโมเดลเศรษฐกิจที่จะขับเคลื่อนผู้ประกอบการ SME ไทย สู่เวทีการค้าโลก หากผู้ประกอบการสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการดำเนินงานของธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้ ก็จะช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพให้แข่งขันได้ในระดับโลก เนื่องจากผู้บริโภคยุคใหม่มักจะเลือกสินค้าและบริการที่แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของธุรกิจจากตราสัญลักษณ์ที่เชื่อถือได้ ผู้ประกอบการสามารถรับคำปรึกษาและขอฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) สำหรับผู้ประกอบการโรงแรม สามารถขอสัญลักษณ์กรีนโฮเทล (Green Hotel) จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม จะเป็นการสร้างความแตกต่าง เพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการ นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสคว้าใจผู้บริโภคยุคใหม่ ส่งผลให้เกิดกำไรธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

บทความแนะนำ เมกะเทรนด์