สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
- การคืนอากรตามมาตรา 29
การคืนอากรตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 เป็นการคืนเงินอากรขาเข้าที่ผู้นำของเข้า (ผู้มีสิทธิขอคืนอากร) ได้ชำระไว้อากรขาเข้าไว้ ณ วันนี่นำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ เพื่อใช้ผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใด และส่งออกไปนอกราชอาณาจักรภายใน 1 ปี นับแต่วันที่นำของเข้ามาในราชอาณาจักร และต้องยื่นขอคืนอากร ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ส่งของออกไป ซึ่งของที่ได้รับคืนอากรตามมาตรา 29 ได้แก่
- วัตถุดิบที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีอยู่ในของที่ผลิตเพื่อส่งออก เช่น ผ้า กระดุม ซิป ด้าย ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก แผ่นพลาสติก ในผลิตภัณฑ์ประเภทพลาสติก เป็นต้น
- วัตถุดิบที่ใช้การผลิตโดยตรงที่มีอยู่ในของที่ผลิตเพื่อส่งออก แต่ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นเคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาสภาพอาหารในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารกระป๋อง เคมีภัณฑ์ชนิดสเปรย์ที่ใช้ฉีดคอเสื้อให้แข็งในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูป ตัวทำละลาย (Solvent) ที่ใช้ผสมกาวในผลิตภัณฑ์ป
- ระเภทเซโลเฟน (Cellophane) น้ำยากันสนิมในผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า(C.) เป็นต้น
- วัตถุดิบจำเป็นที่ใช้ในการผลิต เช่น เคมีภัณฑ์ที่ทำให้เส้นด้ายเหนียว (Sizing Material) เคมีภัณฑ์ที่ใช้ในซักฟอก (Bleaching Agent) ในผลิตภัณฑ์ประเภท สิ่งทอ กระดาษทราย ผงขัด น้ำยาขัดเงาสักหลาด น้ำยาผสมที่ใช้ในการขัด สิ่งที่ใช้ในการขัดต่าง ๆ ชอล์ค กระดาษคาร์บอน และแบบ (Pattern) เป็นต้น
ขั้นตอนการขอคืนอากรวัตถุดิบที่นำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกตามมาตรา 29
- ผู้นำของเข้า ขออนุมัติหลักการคืนอากรตามมาตรา 29 และขอเลขทะเบียนสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
- ผู้ส่งออก จะต้องขอเลขทะเบียนสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร สำหรับการคืนอากรตามมาตรา 29
- การนำของเข้า
- การยื่นสูตรการผลิต
- การยื่นตารางโอนสิทธิ์การส่งของออก (ถ้ามีการโอนสิทธิ์)
- การยื่นคำร้องขอคืนอากร
- การชำระค่าภาษีอากรวัตถุดิบคงเหลือ
ผู้ประกอบการส่งออกสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มที่ใช้ในการขอคืนอากรตามมาตรา 29 จากเว็บไซต์กรมศุลกากร https://shorturl.asia/KvzGB
- การชดเชยค่าภาษีอากร
การชดเชยค่าภาษีอากร เป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาล ที่ให้สิทธิแก่ผู้ส่งออกตามกฎหมายศุลกากร ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตเองหรือไม่ก็ตาม และส่งสินค้าออกโดยปฏิบัติพิธีการศุลกากรถูกต้องครบถ้วน เพื่อพัฒนาศักยภาพในการผลิตสินค้าส่งออกให้สามารถแข่งขันกับตลาดต่างประเทศได้ โดยคณะกรรมการกำหนดอัตราเงินชดเชยในรูปแบบของบัตรภาษี โดยผู้ส่งออกสามารถตรวจสอบอัตราชดเชยได้ที่เว็บไซต์ www.ratchakitcha.soc.go.th
1. สินค้าที่มีสิทธิขอรับชดเชยค่าภาษีอากร
- ต้องเป็นสินค้าที่ผลิตภายในประเทศไทย
- ต้องเป็นสินค้าส่งออก เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าและได้รับชำระค่าสินค้า
- ต้องไม่ใช้สิทธิคืนอากร หรือ ยกเว้นอากร หรือลดหย่อนอากรตามมาตรา 29 /คลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทโรงผลิตสินค้าเพื่อส่งออก/ เขตประกอบการเสรี/ เขตส่งเสริมการลงทุน และเขตปลอดอากร
2. เอกสารที่ใช้ในการยื่นคำขอชดเชยค่าภาษีอากร
- แบบคำขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากร (กศก.20/1)
- แบบแสดงรายละเอียดของสินค้า (กศก.20/1 ก)
- สำเนาบัญชีราคาสินค้า (Invoice) และหลักฐานการรับชำระค่าขายสินค้าส่งออก
- กรณีโอนบัตรภาษี ให้แนบคำร้องขอรับโอนบัตรภาษี (กศก.22/1)
- กรณีส่งออกทางอากาศให้แนบ Airway Bill ที่ระบุค่าระวางบรรทุก
- กรณีเป็นผู้ขอชดเชยอากรรายใหม่ ต้องยื่นหนังสือรับรองกระทรวงพาณิชย์
3. ข้อปฏิบัติและขั้นตอนการขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากร
ผู้ประกอบการส่งออกที่จะขอรับสิทธิประโยชน์การชดเชยภาษีอากร สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนดังแผนภาพ
แผนภาพที่ 12 ขั้นตอนการขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ที่มา: คลินิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กองสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กรมศุลกากร
- คลังสินค้าทัณฑ์บน
คือ พื้นที่ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรเพื่อใช้สำหรับเก็บของ หรือแสดงและขายของที่เก็บ หรือผลิต ผสม ประกอบ บรรจุ หรือดำเนินการด้วยวิธีอื่นใดกับของที่เก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
แผนภาพที่ 13 ประเภทของคลังสินค้าทัณฑ์บน
ที่มา: คลินิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กองสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กรมศุลกากร
สิทธิประโยชน์คลังสินค้าทัณฑ์บน
ยกเว้นการเก็บอากรขาเข้าและอากรขาออก แก่ของที่ปล่อยออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อส่งออกนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ ไม่ว่าจะปล่อยออกไปในสภาพเดิมที่นำเข้า หรือในสภาพอื่น แต่ไม่รวมถึงการนำของในราชอาณาจักรที่ต้องเสียอากรขาออกเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนและได้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรในสภาพเดิมยกเว้นการเก็บอากรขาเข้าและอากรขาออก แก่ของที่ปล่อยออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บน หากเป็นการโอนเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนอื่น หรือจำหน่ายให้แก่ผู้นำของเข้า ตามมาตรา 29 หรือ ผู้มีสิทธิได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรหรือกฎหมายอื่น ให้ถือว่าเป็นการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ในเวลาที่ปล่อยของนั้นออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บน และการรับของที่ได้โอนหรือจำหน่ายดังกล่าว ให้ถือว่าเป็นการนำเข้ามาในราชอาณาจักร หรือนำเข้าสำเร็จในเวลาที่ปล่อยของนั้นออกไปจากคลังสินค้าทัณฑ์บนทั้งนี้ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรเพิ่มเติม ที่หน่วยงาน: คลินิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร กองสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร ชั้น 2 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา กรมศุลกากร เลขที่ 1 ถนนสุนทรโกษา แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110 หมายเลขโทรศัพท์ 02 667 7000 ต่อ 5179 อีเมล taxinclinic@gmail.com
เว็บไซต์: https://tic.customs.go.th/?lang=th&left_menu=nmenu_esevice_230131_01
ที่มาข้อมูล: กรมศุลกากร
ข้อปฏิบัติในการส่งออกสินค้า
เมื่อผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมในเรื่องของสินค้า การจดทะเบียนต่าง ๆ รวมถึงมีประเทศเป้าหมายที่จะทำการส่งออกแล้ว ขั้นตอนต่อมา ผู้ประกอบการจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารการส่งออก ซึ่งประกอบด้วย
1. ใบขนสินค้าขาออก เมื่อเราต้องการส่งสินค้าออก จะต้องใช้ใบขนส่งสินค้าขาออก ในการแจ้งข้อมูลสินค้าให้กับศุลกากรทราบ ประกอบไปด้วย ประเภทสินค้า ราคาและจำนวน เพื่อให้นำทางศุลกากรนำไปคิดภาษีและจัดเก็บข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกของเราได้ (ในส่วนนี้มักดำเนินการโดยบริษัทขนส่ง) ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท
- แบบ กศก.101/1 ใบขนสินค้าขาออก ใช้สำหรับการส่งออกในกรณี ดังต่อไปนี้
- การส่งออกสินค้าทั่วไป
- การส่งออกของส่วนบุคคลและเอกสิทธิ์
- การส่งออกสินค้าประเภทส่งเสริมการลงทุน (BOI)
- การส่งออกสินค้าจากคลังสินค้าทัณฑ์บน
- การส่งออกสินค้าที่ขอชดเชยค่าภาษีอากร
- การส่งออกสินค้าที่ขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ
- การส่งออกสินค้าที่ต้องการใบสุทธินำกลับ
- การส่งสินค้ากลับออกไป (RE-EXPORT)
- แบบ กศก.103 คำร้องขอผ่อนผันรับของ/ส่งของออกไปก่อน ใช้สำหรับการขอส่งสินค้าออกไปก่อนปฏิบัติ พิธีการใบขนสินค้าขาออกในลักษณะที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ ในประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. 2544
- แบบ T.A. Carnet ใบขนสินค้าสำหรับนำของเข้าหรือส่งของออกชั่วคราว ใช้สำหรับพิธีการส่งของออก ชั่วคราวในลักษณะที่กำหนดในอนุสัญญา
- ใบขนสินค้าพิเศษสำหรับรถยนต์และจักรยานยนต์นำเข้าหรือส่งออกชั่วคราว ใช้สำหรับการส่งออกรถยนต์ และจักรยานยนต์ชั่วคราว
2. ใบตราส่งสินค้า ใบตราส่งสินค้า จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of Lading) และใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Way Bill)
- ใบตราส่งสินค้าทางเรือ (B/L, Bill of lading) เป็นเอกสารที่มีความสำคัญมาก เป็นหลักฐาน
ในการขนส่งสินค้าทางเรือ ผู้ส่งออกจะต้องให้ข้อมูล (ชนิดสินค้า, น้ำหนัก, ผู้ซื้อ ,ผู้ขาย) กับทางผู้ให้บริการขนส่ง (บริษัทขนส่ง) เพื่อออกเอกสารนี้ โดยสายเรือจะเป็นผู้ออกให้กับผู้ใช้บริการ ส่วนผู้นำเข้าต้องใช้เอกสารนี้ และจะต้องตรวจแบบร่างก่อนที่จะออกเอกสารตัวจริงเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น - ใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (AWB, Airway Bill) เป็นเอกสารที่คล้ายกับใบตราส่งสินค้าทางเรือ แต่ มีข้อมูลบางส่วนที่แตกต่างกัน เนื่องจากเป็นการขนส่งคนละประเภท
3. บัญชีราคาสินค้า (Invoice) ใบแสดงมูลค่าของสินค้า หรือที่เราคุ้นเคยในชื่อว่า Invoice เป็น เอกสารสำคัญที่จะต้องใช้ทุกครั้งในการส่งออกและการทำพิธีศุลกากร โดยในเอกสารนี้จะแสดงมูลค่าสินค้า เพื่อผ่านพิธีการศุลกากร และส่งเป็นหลักฐานแสดงมูลค่าของสินค้าไปยังต่างประเทศได้
- PI, Proforma Invoice คือใบเรียกเก็บเงิน โดยจะมีการบอกราคาสินค้า
- CI, Commercial invoice คือใบสำคัญที่ผู้ส่งออกจะต้องออกใบนี้ให้กับผู้นำเข้า ใช้สำหรับแนบไปกับเอกสารอื่นเพื่อออกของกับกรมศุลกากร
4. บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (PL / Packing List) หรือใบแสดงรายละเอียดบรรจุหีบห่อของผู้ ส่งออก เป็นเอกสารเพื่อใช้บอกข้อมูล คือ จำนวน น้ำหนัก และขนาดของสินค้าอย่างละเอียด รวมถึง เพื่อแจ้งว่าสินค้าใด ถูกบรรจุมาอย่างไรและอยู่กล่องไหน ซึ่งตัวแทนออกของ หรือ Shipping ตลอดจนบริษัทขนส่งที่ทำหน้าที่รับผิดชอบจะต้องเก็บรักษาเอกสารให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากและเสียเวลา
5. หนังสืออนุญาตสำหรับสินค้าควบคุม (ถ้ามี) (License) หรือหนังสืออนุญาตสินค้าควบคุมขาเข้า (Import License) และขาออก (Export License) ของการค้าระหว่างประเทศ เป็นเอกสารนำเข้า ส่งออก ที่ผู้ต้องการส่งออกสินค้าจะต้องลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้าและส่งออกกับทางกรมศุลกากรด้วยจึงจะดำเนินพิธีการศุลกากรได้
6. ใบรับรองต่างๆ (Certificates)
- C/O, Certificate of Origin คือ ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (กรณีขอลดอัตราอากร) เป็นเอกสารยืนยันแหล่งผลิตของสินค้าว่าผลิตจากที่ไหน วัตถุดิบที่ใช้ผลิตมาจากที่ใด เข้ากับข้อกำหนดการยกเว้น หรือลดภาษีหรือไม่ ซึ่งเอกสารนี้จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้าและส่งออกได้มาก การออกใบนี้จะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ และผู้รับผิดชอบเอกสารนี้คือ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ โดยในบางประเทศที่เราส่งออกสินค้าไป จะสามารถขอใบ C/O นี้เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษี หรือเพื่อใช้สิทธิพิเศษของกรมศุลกากรแต่ละประเทศได้
- Certificate of Health หรือ Health Certificate คือ หนังสือรับรองคุณภาพและอนามัยของสินค้าสำหรับสินค้าประเภทอาหารและสินค้าทางการเกษตร
- Certificate of Fumigation คือ ใบรับรองการรมยา ใช้ในการรับรองว่าสินค้านั้นได้มีการรมยาเพื่อป้องกันเชื้อราหรือแมลงที่อาจเกิดขึ้นในการขนส่ง ใช้กับสินค้าทุกชนิดที่ผลิตจากพืชหรือไม้
- Phytosanitary Certificate คือ ใบรับรองการปลอดโรคและศัตรูพืช เพื่อแสดงว่าสินค้าของเราปลอดภัย และไม่มีการระบาดของโรคพืชต่างๆ
- Certificate of Analysis คือ ใบวิเคราะห์สินค้า เป็นเอกสารทางวิทยาศาสตร์เพื่อบอกถึงส่วนประกอบต่างๆ ที่มีอยู่ในสินค้า และรับรองว่าปลอดภัย
- Insurance Certificate คือ ใบประกันภัยสินค้า เป็นการบ่งบอกว่าสินค้านั้นได้มีการทำประกันภัยสินค้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงและความเสียหายของสินค้าในระหว่างการขนส่ง โดยการทำประกันภัยจะครอบคลุมค่าเสียหายสูงสุดถึงกว่า 90% ของมูลค่าสินค้า
7. ใบสั่งซื้อสินค้า (Order) เป็นเอกสารที่ผู้นำเข้าจะส่งให้ผู้ส่งออกหรือผู้ขายสินค้า เพื่อเปิดการสั่งซื้อ ซึ่งในปัจจุบันสามารถใช้การเขียนอีเมลหรือใบ Inquiry ไปที่ผู้ขายแทนได้ เป็นการสะดวกกว่า และทำ ให้ผู้ขายสามารถส่ง PI มาให้ได้เลย
8. เอกสารอื่น ๆ
- Export Permit คือ ใบอนุญาตการส่งออกของสินค้า ใช้กับสินค้าบางชนิดที่ต้องมีการขอใบอนุญาตการส่งออกก่อน เช่น สินค้าเกษตรกร หรือวัตถุดิบบางประเภท เป็นต้น
- Pink Form คือ ใบรับรองแหล่งผลิต แหล่งกำเนิดอาหารปลอดโรค ออกโดยสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข
- แคตตาล็อกต่าง ๆเพื่อใช้ประกอบการจัดส่งสินค้า
ขั้นตอนการดำเนินพิธีทางศุลกากร
- การขอใบรับรองต่าง ๆ ที่ประเทศปลายทางกำหนด เช่นใบรับรองทางด้านความปลอดภัยและมาตรฐานสินค้า
- การขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ผู้นำเข้าได้รับการลดหย่อนภาษีศุลกากรในตอนนำเข้า และทำให้สินค้าของไทยมีความได้เปรียบทางด้านราคา
- ติดต่อจองเรือบรรทุก หรือเครื่องบิน ในกรณีที่ต้องขนส่งทางอากาศ ทำเรื่องการประกันภัยสินค้าให้เรียบร้อย
- วางแผนจัดการส่งออกตามเงื่อนไขที่ผู้ซื้อระบุไว้ในหนังสือสั่งซื้อสินค้าที่เรียกว่า L/C หรือ Letter of Credit ทุกประการ มิฉะนั้นอาจจะไม่ได้รับเงินค่าสินค้า
- จัดทำเอกสารเพื่อผ่านพิธีการศุลกากร ซึ่งจะต้องมีเอกสารต่อไปนี้
5.1) ใบขนสินค้าขาออก
5.1.1) ผู้ส่งออกหรือตัวแทนส่งข้อมูลใบขนสินค้าขาออกและบัญชีราคาสินค้า (Invoice) ทุกรายการจากเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ส่งออกหรือตัวแทนมายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร โดยผ่านบริษัทผู้ให้บริการระบบ แลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
5.1.2 เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรตรวจสอบข้อมูลในใบขนสินค้าขาออกส่งมาถูกต้องครบถ้วนแล้ว จะออกเลขที่ใบขนสินค้าขาออกและตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆที่กรมศุลกากรกำหนดไว้ เพื่อจัดกลุ่มใบขนสินค้าขาออกเป็น 2 ประเภท ดังต่อไปนี้และแจ้งกลับไปยังผู้ส่งออกหรือตัวแทน เพื่อจัดพิมพ์ใบขนสินค้า
- ใบขนสินค้าขาออกที่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Red Line)
- ใบขนสินค้าประเภทนี้ผู้ส่งออกหรือตัวแทนต้องนำใบขนสินค้าไปติดต่อกับหน่วยงานประเมินอากรของท่าที่ผ่านพิธีการ
- ใบขนสินค้าขาออกที่ไม่ต้องตรวจสอบพิธีการ (Green Line)
- ใบขนสินค้าขาออกประเภทนี้ ผู้ส่งออกสามารถชำระค่าอากร (ถ้ามี) และดำเนินการนำสินค้าไปตรวจปล่อยเพื่อส่งออกได้เลยโดยไม่ต้องไปพบเจ้าหน้าที่ประเมินอากร
5.2) บัญชีราคาสินค้า (Invoice) จำนวนต้องเท่ากับจำนวนใบขนสินค้าขาออกที่ยื่นทั้งหมด
5.3) บัญชีรายละเอียดการบรรจุหีบห่อ (Packing List)
5.4) คำร้องขอให้ทำการตรวจสินค้าและบรรจุเข้าตู้คอนเทนเนอร์
- การผ่านพิธีการศุลกากร ผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์
- ผู้ส่งออกแนบเอกสารการส่งออกและใบรับรองทุกอย่างไปพร้อมกับสินค้า